nothing to do = DoNothing, Everything i do = u do 2 ,ไม่มีอะไรทีต้องทำ และไม่ต้องทำอะไรที่มันมีอยู่แล้ว ถ้าคนอื่นทำแล้วเราก็ไม่จำเป็นต้องทำ แต่ถ้าคนอื่นไม่ทำฉันก็จะต้องทำ คุณไม่ต้องเขียนเรื่องเดียวกับฉันอยากได้เนื้อหาก็แค่ Link
Saturday, April 20, 2013
Tuesday, April 16, 2013
วางระเบิด บอสตัน มาราธอน 2013
เมื่อวันที่ 15 เม.ย. 2556 เกิดเหตุระเบิด 2 ครั้งซ้อนในเวลาไล่เลี่ยกัน บริเวณจุดเข้าเส้นชัยของการแข่งขันกรีฑา “บอสตัน มาราธอน” ใจกลางเมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 3 ศพ บาดเจ็บอีกกว่า 140 ราย ขณะที่เมืองใหญ่หลายแห่งในประเทศสั่งยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัยเป็นขั้นสูงสุด
การก่อวินาศกรรมด้วยระเบิด 2 ครั้งซ้อน ใกล้กับจุดเข้าเส้นชัยของการแข่งขันกรีฑา “บอสตัน มาราธอน” ที่ถือเป็นหนึ่งในรายการกีฬาประจำปีที่ยิ่งใหญ่และเก่าแก่ที่สุดของสหรัฐ สร้างความเสียหายในรัศมี 50-100 หลา และเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 3 ศพ ในจำนวนนี้รวมถึงเด็กชายวัย 8 ขวบ นอกจากนี้ ยังมีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บไม่ต่ำกว่า 141 ราย ซึ่ง 25 รายมีอาการสาหัส เบื้องต้นทุกฝ่ายต่างเห็นพ้องกันว่า เป็นการกระทำของ “กลุ่มก่อการร้าย” เนื่องจากเป็นการวางแผนล่วงหน้าเอาไว้อย่างดีขณะที่เมืองสำคัญและเมืองใหญ่หลายแห่งของสหรัฐ เช่น นครนิวยอร์ก นครลอสแองเจลิส และกรุงวอชิงตัน ต่างประกาศเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ในการรักษาความปลอดภัยสถานที่สำคัญในพื้นที่ทันที ไม่ว่าจะเป็น ท่าเรือ สนามบิน สนามกีฬา รวมถึงสถานที่ราชการทุกแห่ง และจุดชมวิวที่มีชื่อเสียงของเมืองรายงานล่าสุดระบุว่า เจ้าหน้าที่พบระเบิดถูกซุกซ่อนอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับสถานที่จัดการแข่งขันอีกอย่างน้อย 3 จุด
Friday, April 12, 2013
การวิ่งแข่งขันอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
การวิ่งแข่งขันอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
การจะมีสุขภาพดีได้ ก็ต้องมีการออกกำลังกายด้วย สมัยก่อน คนเราไม่ต้องออกกำลังกายเป็นพิเศษอย่างทุกวันนี้ก็มีสุขภาพดีได้ เพราะได้ออกกำลังอยู่เสมอแล้วในชีวิตประจำวัน เช่น การเดินทางด้วยเท้าหรือจักรยาน การทำไร่ ไถนา แต่เมื่อมีเครื่องทุ่นแรงต่างๆ มากขึ้นการใช้ชีวิตประจำวันและการทำงานของมนุษย์ก็เปลี่ยนไป กลายเป็นว่าวันๆ เราออกแรงกันไม่กี่มากน้อย โดยเฉพาะพวกทำงานนั่งโต๊ะ ประเภทขีดๆเขียนๆ เรื่องของการออกกำลังกายจึงเข้ามามีบทบาทมากขึ้น
การวิ่งเพื่อสุขภาพเป็นการออกกำลังอีกชนิดหนึ่งซึ่งมีผู้นิยมกันมาก เนื่องจากความง่ายไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมืออุปกรณ์พิเศษมากมายและมีประโยชน์หลายอย่าง เช่น เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของหัวใจ และหลอดเลือด สามารถป้องกันโรคเส้นเลือดตีบ โรคหัวใจ ไขมันในเส้นเลือดสูง ความดันเลือดสูง โรคเบาหวาน เป็นต้น
แม้การวิ่งจะเป็นเรื่องง่ายที่ทุกคนสามารถวิ่งได้โดยธรรมชาติอยู่แล้วแต่การวิ่งที่หักโหมเกินไปหรือ ผู้ที่เริ่มต้นใหม่ เห็นคนอื่นวิ่งก็เริ่มวิ่งตามเขาบ้าง โดยไม่ได้ศึกษาวิธีที่ถูกต้องโดยเฉพาะพวกที่มีแรงใจอยากวิ่งแข่งขันแต่ไม่เคยมีพื้นฐานการวิ่งมาก่อนเอาความถึกเข้าสู้พวกนี้แทนที่จะได้รับประโยชน์อาจจะทำให้เกิดโทษได้ เช่นมีการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อหรือเส้นเอ็นฉีกขาดอักเสบเรื้อรังดังนั้นหากใครคิดจะวิ่งแข่งขันก็ขอให้ศึกษาหาข้อมูลก่อนเริ่มวิ่งถ้าให้ดีก็หาผู้รู้จริงเป็นพี่เลี้ยงก่อนจะได้ไม่เสียใจภายหลัง
การจะมีสุขภาพดีได้ ก็ต้องมีการออกกำลังกายด้วย สมัยก่อน คนเราไม่ต้องออกกำลังกายเป็นพิเศษอย่างทุกวันนี้ก็มีสุขภาพดีได้ เพราะได้ออกกำลังอยู่เสมอแล้วในชีวิตประจำวัน เช่น การเดินทางด้วยเท้าหรือจักรยาน การทำไร่ ไถนา แต่เมื่อมีเครื่องทุ่นแรงต่างๆ มากขึ้นการใช้ชีวิตประจำวันและการทำงานของมนุษย์ก็เปลี่ยนไป กลายเป็นว่าวันๆ เราออกแรงกันไม่กี่มากน้อย โดยเฉพาะพวกทำงานนั่งโต๊ะ ประเภทขีดๆเขียนๆ เรื่องของการออกกำลังกายจึงเข้ามามีบทบาทมากขึ้น
การวิ่งเพื่อสุขภาพเป็นการออกกำลังอีกชนิดหนึ่งซึ่งมีผู้นิยมกันมาก เนื่องจากความง่ายไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องมืออุปกรณ์พิเศษมากมายและมีประโยชน์หลายอย่าง เช่น เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของหัวใจ และหลอดเลือด สามารถป้องกันโรคเส้นเลือดตีบ โรคหัวใจ ไขมันในเส้นเลือดสูง ความดันเลือดสูง โรคเบาหวาน เป็นต้น
แม้การวิ่งจะเป็นเรื่องง่ายที่ทุกคนสามารถวิ่งได้โดยธรรมชาติอยู่แล้วแต่การวิ่งที่หักโหมเกินไปหรือ ผู้ที่เริ่มต้นใหม่ เห็นคนอื่นวิ่งก็เริ่มวิ่งตามเขาบ้าง โดยไม่ได้ศึกษาวิธีที่ถูกต้องโดยเฉพาะพวกที่มีแรงใจอยากวิ่งแข่งขันแต่ไม่เคยมีพื้นฐานการวิ่งมาก่อนเอาความถึกเข้าสู้พวกนี้แทนที่จะได้รับประโยชน์อาจจะทำให้เกิดโทษได้ เช่นมีการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อหรือเส้นเอ็นฉีกขาดอักเสบเรื้อรังดังนั้นหากใครคิดจะวิ่งแข่งขันก็ขอให้ศึกษาหาข้อมูลก่อนเริ่มวิ่งถ้าให้ดีก็หาผู้รู้จริงเป็นพี่เลี้ยงก่อนจะได้ไม่เสียใจภายหลัง
Thursday, April 11, 2013
วิ่งหรือเดิน

- นักวิ่งจะลดความดันเลือดลงได้ร้อยละ 4.2 ขณะที่นักเดินลดได้ร้อยละ 7.2
- นักวิ่งลดความเสี่ยงของโรคเบาหวานได้ร้อยละ 12.1 ส่วนนักเดินลดได้ร้อยละ 12.3
- นักวิ่งลดไขมันในเลือดได้ร้อยละ 4.3 นักเดินลดได้ร้อยละ 7
- นักวิ่งลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจลงได้ ร้อยละ 4.5 ขณะที่นักเดินลดได้ร้อยละ 9.3.
(จากวารสารของแพทยสมาคมโรคหัวใจสหรัฐฯ)
Monday, March 25, 2013
วัดพระแก้ว
![]() |
วัดพระแก้วในยามค่ำ |
เป็นพระอารามหลวง ตั้งอยู่ตรงมุมด้านตะวันออกเฉียงเหนือของพระบรมมหาราชวังเป็นที่ประดิษฐานพระมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต) และใช้เป็นที่ประกอบพระราชพิธีทางศาสนาที่สำคัญ ภายในพระอุโบสถ และระเบียงรอบวัดมีภาพจิตรกรรมฝาผนังสวยงามมาก
สิ่งที่น่าสนใจอื่นๆ ภายในวัดได้แก่ พระปรางค์ 8 องค์ ,พระศรีรัตนเจดีย์ ,ปราสาทนครวัดจำลอง, ปราสาทพระเทพบิดร , ศาลาเครื่องราชอิสริยยศ และเหรียญกษาปณ์
Sunday, March 24, 2013
ตารางฝึก สัปดาห์ที่ 18 ถึง สัปดาห์ที่ 22
โปรแกรมของเดือนนี้มุ่งที่จะช่วยให้วิ่งเหยาะให้ได้
นาน และ ได้ ระยะทางไกล เป็น 2 เท่าของเดือนที่แล้ว คือให้สามารถวิ่งเหยาะโดยไม่ต้องหยุดติดต่อกันไปเป็นเวลานาน 10-25 นาที ซึ่งเมื่อเทียบกับ วันแรกที่เริ่มฝึกนั้น
แทบจะเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย เพียงวิ่งติดต่อกันโดยไม่หยุด 3-5 นาที
ก็รู้สึกเหนื่อยหอบแทบขาดใจแล้วแต่มาคราวนี้ต้องวิ่งให้ได้ถึง 25 นาทีซึ่งเดือนนี้จะเป็นเดือนที่ยากที่สุดหากพ้นไปได้ก็ถือว่าสอบผ่านหลักสูตรวิ่งเพื่อสุขภาพแล้วหลังจากนี้ไปก็ต้องเลือกเส้นทางเองแล้วว่าจะก้าวต่อไปสู่นักวิ่งระดับกลางเพื่อเพิ่มรสชาติให้ชีวิตด้วยการแข่งขันเล็กๆด้วยแผนการฝึกขั้นต่อไปหรือจะเลือกการวิ่งเพื่อสุขภาพด้วยตารางฝึกของสัปดาห์ที่ 20 และ 21ต่อไปเรื่อยๆ
ตารางฝึก สัปดาห์ที่ 18 ถึง สัปดาห์ที่ 19
ตารางฝึก สัปดาห์ที่ 20 ถึง สัปดาห์ที่ 22
*อย่าลืมการอบอุ่นร่างกายก่อนออกวิ่งและปรับสภาพร่างกายด้วยการยืดหยุ่นหลังวิ่งอย่าน้อยช่วงละ 15 นาที
การวิ่งไม่ได้หมายความว่าต้องวิ่งด้วยความเร็วตลอดเวลาให้สังเกตุตัวเองด้วยหากวิ่งจนหอบจนไม่สามารถพูดเป็นประโยคได้ก็ให้ผ่อนความเร็วลงจนอาจเป็นการเดินก็ได้เมื่อหายเหนื่อยแล้วก็วิ่งต่อจนครบและในที่สุดเมื่อฝึกไปนานๆ ก็จะทำได้ตามเวลาโดยไม่ต้องพักเอง
ตารางฝึก สัปดาห์ที่ 18 ถึง สัปดาห์ที่ 19
รายการฝึก
|
ปฎิบัติจริงๆ
|
วันที่1 วิ่งเหยาะ 5 นาทีวันที่2 วิ่งเหยาะ 10 นาทีวันที่3 วิ่งเหยาะ 5 นาทีวันที่4 วิ่งเหยาะ 10 นาทีวันที่5 วิ่งเหยาะ 5 นาทีวันที่6 วิ่งเหยาะ 15นาทีวันที่7 พัก |
ตารางฝึก สัปดาห์ที่ 20 ถึง สัปดาห์ที่ 22
รายการฝึก
|
ปฎิบัติจริงๆ
|
วันที่1 วิ่งเหยาะ 7 นาทีวันที่2 วิ่งเหยาะ 15 นาทีวันที่3 วิ่งเหยาะ 10 นาทีวันที่4 วิ่งเหยาะ 15 นาทีวันที่5 วิ่งเหยาะ 10 นาทีวันที่6 วิ่งเหยาะ 25 นาทีวันที่7 พัก |
*อย่าลืมการอบอุ่นร่างกายก่อนออกวิ่งและปรับสภาพร่างกายด้วยการยืดหยุ่นหลังวิ่งอย่าน้อยช่วงละ 15 นาที
การวิ่งไม่ได้หมายความว่าต้องวิ่งด้วยความเร็วตลอดเวลาให้สังเกตุตัวเองด้วยหากวิ่งจนหอบจนไม่สามารถพูดเป็นประโยคได้ก็ให้ผ่อนความเร็วลงจนอาจเป็นการเดินก็ได้เมื่อหายเหนื่อยแล้วก็วิ่งต่อจนครบและในที่สุดเมื่อฝึกไปนานๆ ก็จะทำได้ตามเวลาโดยไม่ต้องพักเอง
Saturday, March 23, 2013
ตารางฝึก สัปดาห์ที่ 13 ถึง สัปดาห์ที่ 17
คราวนี้ก็มาถึงการวิ่งเหยาะเต็มเวลาหรือจ๊อกกิ้งเสียที และจะใช้เวลาไม่มากนักในแต่ละวันเพราะเป็นการออกกำลังกายที่มีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว
ใช้เวลาเพียงหนึ่งในสี่ของการเดินในแต่ละครั้งเท่านั้นกล่าวก็คือ หากวิ่งเหยาะหรือวิ่งจ๊อกกิ้ง 15 นาที จะได้ผลเท่ากับเดิน
1 ชั่วโมงทีเดียว
ในรายการฝึกหนึ่งสัปดาห์จะมีวันหนักที่สุดอยู่หนึ่งวัน คือวันสุดท้ายของสัปดาห์ ที่กำหนดให้ซ้อมวิ่งนานและไกลกว่า วันอื่น ๆ ซึ่งนับเป็นวันที่สำคัญที่สุดคือ ให้เริ่มวิ่งแบบสบายๆ แล้วค่อย ๆ เร่งฝีเท้าขึ้นช้า ๆ เมื่อรู้สึกว่าขาแข้งคล่องแล้วจึงวิ่งเร็วกว่าสปีดวิ่งเหยาะนิดหน่อย แต่ไม่ใช่วิ่งจนสุดสปีดของการวิ่ง
ตารางฝึก สัปดาห์ที่ 13 ถึง สัปดาห์ที่ 15
ตารางฝึก สัปดาห์ที่ 16 ถึง สัปดาห์ที่ 17
อย่าลืมว่าต้องมีการบริหารร่างกายก่อนวิ่งเป็นการเตรียมพร้อมอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 15 นาทีและหลังวิ่งอีกประมาณ 10 นาที
ในรายการฝึกหนึ่งสัปดาห์จะมีวันหนักที่สุดอยู่หนึ่งวัน คือวันสุดท้ายของสัปดาห์ ที่กำหนดให้ซ้อมวิ่งนานและไกลกว่า วันอื่น ๆ ซึ่งนับเป็นวันที่สำคัญที่สุดคือ ให้เริ่มวิ่งแบบสบายๆ แล้วค่อย ๆ เร่งฝีเท้าขึ้นช้า ๆ เมื่อรู้สึกว่าขาแข้งคล่องแล้วจึงวิ่งเร็วกว่าสปีดวิ่งเหยาะนิดหน่อย แต่ไม่ใช่วิ่งจนสุดสปีดของการวิ่ง
ตารางฝึก สัปดาห์ที่ 13 ถึง สัปดาห์ที่ 15
รายการฝึก
|
ปฎิบัติจริงๆ
|
วันที่1 2x(วิ่งเหยาะ 1 นาที )วันที่2 วิ่งเหยาะ 1 นาทีวันที่3 2x(วิ่งเหยาะ 2 นาที )วันที่4 วิ่งเหยาะ 2 นาทีวันที่5 2x(วิ่งเหยาะ 2 นาที)วันที่6 วิ่งเหยาะ 5นาทีวันที่7 พัก |
ตารางฝึก สัปดาห์ที่ 16 ถึง สัปดาห์ที่ 17
รายการฝึก
|
ปฎิบัติจริงๆ
|
วันที่1 3x(วิ่งเหยาะ 1 นาที )วันที่2 วิ่งเหยาะ 2 นาทีวันที่3 2x(วิ่งเหยาะ 2 นาที )วันที่4 วิ่งเหยาะ 3 นาทีวันที่5 2x(วิ่งเหยาะ 2 นาที)วันที่6 วิ่งเหยาะ 10 นาทีวันที่7 พัก |
อย่าลืมว่าต้องมีการบริหารร่างกายก่อนวิ่งเป็นการเตรียมพร้อมอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 15 นาทีและหลังวิ่งอีกประมาณ 10 นาที
Friday, March 22, 2013
วันที่ 17
Total distance: 4.62 km (2.9 mi)
Total time: 42:18
Moving time: 41:56
Average speed: 6.54 km/h (4.1 mi/h)
Average moving speed: 6.60 km/h (4.1 mi/h)
Max speed: 9.40 km/h (5.8 mi/h)
Average pace: 9.17 min/km (14.8 min/mi)
Average moving pace: 9.09 min/km (14.6 min/mi)
วันที่17 ของการฝึกเดินพบว่าอาการเจ็บหน้าแข้งหายไปแล้วและจาก การวิ่งทดสอบสภาพร่างกายวานนี้ปรากฎว่าวันนี้ไม่มีผลข้างเคียงเช่นปวดขาหรือเหมื่อนเนื้อตัวผิดปกติทั้งที่วานนี้ออกกำลังค่อนข้างมากก็เลยเกิดข้อสงสัยเกี่ยวกับความสามารถทนการออกกำลังของคนเราว่าจะต้านทานการฝึกได้แค่ไหนเพื่อจะได้ปรับแผนฝึกให้สอดคล้องกับสภาพร่างกายดังนั้นวันนี้จึงเอาวิธีทดสอบสภาพร่างกายด้วยการวิ่งจับเวลา 12 นาทีมาประยุกต์คือเราทราบว่าการทดสอบนี้ทำโดยให้ผู้เข้าทดสอบวิ่ง(ถ้าวิ่งรวดเดียวไม่ได้ก็อาจสลับกับเดิน)ว่า12นาทีได้กี่ กิโลเมตร ดังนั้เบื้องต้นก็ประเมินว่าวิ่ง 12 นาทีนี้ทุกคนคงทำได้โดยไม่เป็นอันตรายแน่ ฉะนั้นวันนี้ก็เลยวิ่งทดสอบ 12 นาทีดูปรากฎว่าวิ่งได้ 1.2 กิโลเมตรสุขภๅพค่อนข้างแย่แต่ทำให้รู้ว่า เอา 12 นาทีเป็นเกณฑ์เริ่มวิ่ง (แต่ทั้งนี้ต้องรอฟังผลข้างเคียงพรุ่งนี้ก่อนหากไม่มีปัญหาก็เริ่มแผนวิ่งได้)
การวิ่งตรวจสอบ ความฟิตของร่างกาย
การทดสอบความสมบูรณ์ของร่างกายอย่างง่าย
ก่อนเริ่มออกกำลังกายหลายคนอยากจะรู้ว่าตัวเองมีร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์แค่ไหนแต่ไม่อยากเสียเงินและเสียเวลาไปโรงพยาบาลก็มีวิธีง่ายๆด้วยการทดลองวิ่งจับเวลา ว่าภายใน 12 นาทีวิ่งได้ระยะทางเท่าไรแล้วมาเทียบกับตารางข้างล่างก็จะรู้ว่าระดับความแข็งแรงของตัวเองได้แต่ทั้งนี้ไม่ต้องยึดถือตารางมาก ว่าจะถูกต้อง 100% เอาเป็นว่าแค่เป็นแนวทางแล้วกันถ้าจะให้แม่นยำก็คงต้องเสียเงินให้โรงพยาบาลตรวจ แต่ระดับเราๆท่านๆที่ไม่มีโรคประจำตัวการตรวจสอบแค่นี้ก็ใช้ได้แล้ว
การทดสอบวิ่ง
12 นาที
|
||
ระดับความฟิต
|
ระยะทางวิ่งได้ใน
12 นาที (ก.ม.)
|
|
ชาย
|
หญิง
|
|
อายุต่ำกว่า 30 ปี
|
||
แย่มาก แย่ พอใช้ ดี ดีมาก |
น้อยกว่า 1.6 1.7-2.0 2.1-2.4 2.5-2.8 2.9 ขึ้นไป |
น้อยกว่า 1.5 1.6-1.8 1.9-2.2 2.3-2.6 2.7 ขึ้นไป |
อายุ 30-39 ปี
|
||
แย่มาก แย่ พอใช้ ดี ดีมาก |
น้อยกว่า 1.5 1.6-1.8 1.9-2.2 2.3-2.6 2.7 ขึ้นไป |
น้อยกว่า 1.4 1.5-1.7 1.8-2.0 2.1-2.5 2.6 ขึ้นไป |
อายุ 40-49 ปี
|
||
แย่มาก แย่ พอใช้ ดี ดีมาก |
น้อยกว่า 1.4 1.5-1.7 1.8-2.1 2.2-2.5 2.6 ขึ้นไป |
น้อยกว่า 1.2 1.3-1.5 1.6-1.8 1.9-2.3 2.4 ขึ้นไป |
อายุ 50 ปี ขึ้นไป
|
||
แย่มาก แย่ พอใช้ ดี ดีมาก |
น้อยกว่า 1.3 1.4-1.6 1.7-2.0 2.1-2.4 2.5 ขึ้นไป |
น้อยกว่า 1.0 1.1-1.4 1.5-1.7 1.8-2.2 2.3 ขึ้นไป |
ตารางฝึกสัปดาห์ที่ 9 ถึง สัปดาห์ที่ 12
ยินดีด้วยที่ได้เริ่มวิ่งเสียทีหลังจากไหว้ครูมาประมาณ 2 เดือน แต่แผนฝึกเดือนนี้ขอให้เป็นเพียงการ “วิ่งเหยาะ”เท่านั้น
วิ่ง เหยาะ คือ การวิ่งช้า ๆ ช้ามากจนเร็วกว่าเดินนิดเดียววิ่งช้าที่สุดเท่าที่จะวิ่งช้าได้โดย ที่ไม่ทำให้เหนื่อยจนหอบในเวลาอันสั้น ห้ามวิ่งเร็ว ๆ ในตอนนี้(ยกเว้นสุนัขไล่ :p) การฝึกในเดือนนี้จะเน้นในแง่คุณภาพมากกว่าปริมาณโดยเวลาการฝึกในแต่ละวันถูกลดลงมาเหลือ 30 นาที ต่อวัน แต่เน้นการวิ่งเหยาะเข้าไป วันเว้นวัน
ตารางฝึก สัปดาห์ที่ 9 ถึง สัปดาห์ที่ 10
ตารางฝึก สัปดาห์ที่ 11 ถึง สัปดาห์ที่ 12
*เดินเร็ว 15 นาที วิ่งเหยาะ 1 นาทีรวม 2 ครั้งสลับกันไป
**เดินเร็ว 10 นาที วิ่งเหยาะ 1 นาทีรวม 3 ครั้งสลับกันไป
วิ่ง เหยาะ คือ การวิ่งช้า ๆ ช้ามากจนเร็วกว่าเดินนิดเดียววิ่งช้าที่สุดเท่าที่จะวิ่งช้าได้โดย ที่ไม่ทำให้เหนื่อยจนหอบในเวลาอันสั้น ห้ามวิ่งเร็ว ๆ ในตอนนี้(ยกเว้นสุนัขไล่ :p) การฝึกในเดือนนี้จะเน้นในแง่คุณภาพมากกว่าปริมาณโดยเวลาการฝึกในแต่ละวันถูกลดลงมาเหลือ 30 นาที ต่อวัน แต่เน้นการวิ่งเหยาะเข้าไป วันเว้นวัน
ตารางฝึก สัปดาห์ที่ 9 ถึง สัปดาห์ที่ 10
รายการฝึก
|
ปฎิบัติจริงๆ
|
วันที่1 เดินเร็ว 30 นาทีวันที่2 เดินเร็ว 30 นาทีวิ่งเหยาะ 1นาทีวันที่3 เดินเร็ว 30 นาทีวันที่4 เดินเร็ว 30 นาทีวิ่งเหยาะ 1นาทีวันที่5 เดินเร็ว 30 นาทีวันที่6 เดินเร็ว 30 นาทีวิ่งเหยาะ 1นาทีวันที่7 พัก |
ตารางฝึก สัปดาห์ที่ 11 ถึง สัปดาห์ที่ 12
รายการฝึก
|
ปฎิบัติจริงๆ
|
วันที่1 เดินเร็ว 30 นาทีวันที่2 2x(เดินเร็ว 15 นาทีวิ่งเหยาะ 1นาที)*วันที่3 เดินเร็ว 30 นาทีวันที่4 2x(เดินเร็ว 15 นาทีวิ่งเหยาะ 1นาที)*วันที่5 เดินเร็ว 30 นาทีวันที่6 3x(เดินเร็ว 10 นาทีวิ่งเหยาะ 1นาที)**วันที่7 พัก |
*เดินเร็ว 15 นาที วิ่งเหยาะ 1 นาทีรวม 2 ครั้งสลับกันไป
**เดินเร็ว 10 นาที วิ่งเหยาะ 1 นาทีรวม 3 ครั้งสลับกันไป
Thursday, March 21, 2013
วันที่ 16
Total distance: 3.89 km (2.4 mi)
Total time: 33:37
Moving time: 33:07
Average speed: 6.94 km/h (4.3 mi/h)
Average moving speed: 7.05 km/h (4.4 mi/h)
Max speed: 9.90 km/h (6.2 mi/h)
Average pace: 8.64 min/km (13.9 min/mi)
Average moving pace: 8.52 min/km (13.7 min/mi)
วันนี้ทดสอบสมรรถภาพร่างกายโดยการทดลองวิ่ง 2.4 กม.ผลออกมาแย่กว่าที่คาดปรากฎว่าใช้เวลาวิ่ง ถึง 19.5 นาที ซึ่งตำราฝรั่งบอกว่าสำหรับคนอายุ 50 ปีถือว่าสุขภาพแย่มาก ก็คงจะจริงเพราะปวดหัวตัวร้อน ปวดเอวเป็นประจำก็ต้องรอดูผลหลังจากนี้อีกสักครึ่งปีคาดว่าสุขภาพน่าจะดีขึ้นถ้ายังอดทนฝึกวิ่งอยู่
Total time: 33:37
Moving time: 33:07
Average speed: 6.94 km/h (4.3 mi/h)
Average moving speed: 7.05 km/h (4.4 mi/h)
Max speed: 9.90 km/h (6.2 mi/h)
Average pace: 8.64 min/km (13.9 min/mi)
Average moving pace: 8.52 min/km (13.7 min/mi)
วันนี้ทดสอบสมรรถภาพร่างกายโดยการทดลองวิ่ง 2.4 กม.ผลออกมาแย่กว่าที่คาดปรากฎว่าใช้เวลาวิ่ง ถึง 19.5 นาที ซึ่งตำราฝรั่งบอกว่าสำหรับคนอายุ 50 ปีถือว่าสุขภาพแย่มาก ก็คงจะจริงเพราะปวดหัวตัวร้อน ปวดเอวเป็นประจำก็ต้องรอดูผลหลังจากนี้อีกสักครึ่งปีคาดว่าสุขภาพน่าจะดีขึ้นถ้ายังอดทนฝึกวิ่งอยู่
ตารางฝึก สัปดาห์ที่ 5 ถึง สัปดาห์ที่ 8
สัปดาห์ที่ 5 ถึง สัปดาห์ที่ 8 นี้ก็ยังเป็นการเดินอยู่ โปรดอย่าใจร้อน
กระโดดข้ามขั้นไปวิ่งเหยาะหรือวิ่งเลย เพราะหากเกิดบาดเจ็บขึ้นมาอาจทำให้ท้อและเสียเวลารักษาตัว แม้จะเป็นตารางการเดินแต่การเดินของ ในเดือนนี้ก็เป็นการจำลองโปรแกรมวิ่งของนักวิ่งแทบทุกอย่างเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่การวิ่งด้วยการจัด “วันเบา ๆ” ให้ เดินเพียง 15-20 นาทีเท่านั้น
แต่ในทุกสัปดาห์ก็จะมี “วันหนัก ๆ” ถึง 3 วัน ที่อาจต้องเดินกันเป็นชั่วโมง
ตารางฝึก สัปดาห์ที่ 4 ถึง สัปดาห์ที่ 6
ตารางฝึก สัปดาห์ที่ 6 ถึง สัปดาห์ที่ 8
*
เดินเร็ว = การเดินแบบรีบก้าวเท้ายาวให้มีระยะก้าวสม่ำเสมอ ไม่ใช่เดินทอดน่องไม่ใช่เร่งหรือผ่อนฝีเท้าเป็นระยะ ๆ อย่าวัดระยะทางที่เดิน ให้ดูแต่เวลาที่ใช้เดินเท่านั้น
พัก=เดินชดเชย ทดแทนวันที่ขาด หากรวมวันที่เดินไม่ครบ 6 วันหรือหยุดพักในกรณีที่เดินได้ครบ 6 วันตามรายการฝึก
เมื่อฝึกเดินมาถึงขั้นนี้ได้โดยไม่ขาดหายก็เป็นอันว่าร่างกายผ่านการเตรียมพร้อมที่จะเข้าสู่วงจรนักวิ่งเพื่อสุขภาพอย่างเต็มภาคภูมิแล้ว
ตารางฝึก สัปดาห์ที่ 4 ถึง สัปดาห์ที่ 6
รายการฝึก
|
ปฎิบัติจริงๆ
|
วันที่1 เดินเร็ว 30 นาทีวันที่2 เดินเร็ว 15 นาทีวันที่3 เดินเร็ว 30 นาทีวันที่4 เดินเร็ว 15 นาทีวันที่5 เดินเร็ว 45 นาทีวันที่6 เดินเร็ว 15 นาทีวันที่7 พัก |
ตารางฝึก สัปดาห์ที่ 6 ถึง สัปดาห์ที่ 8
รายการฝึก
|
ปฎิบัติจริงๆ
|
วันที่1 เดินเร็ว 15 นาทีวันที่2 เดินเร็ว 45 นาทีวันที่3 เดินเร็ว 15 นาทีวันที่4 เดินเร็ว 30 นาทีวันที่5 เดินเร็ว 15 นาทีวันที่6 เดินเร็ว 60 นาทีวันที่7 พัก |
*
เดินเร็ว = การเดินแบบรีบก้าวเท้ายาวให้มีระยะก้าวสม่ำเสมอ ไม่ใช่เดินทอดน่องไม่ใช่เร่งหรือผ่อนฝีเท้าเป็นระยะ ๆ อย่าวัดระยะทางที่เดิน ให้ดูแต่เวลาที่ใช้เดินเท่านั้น
พัก=เดินชดเชย ทดแทนวันที่ขาด หากรวมวันที่เดินไม่ครบ 6 วันหรือหยุดพักในกรณีที่เดินได้ครบ 6 วันตามรายการฝึก
เมื่อฝึกเดินมาถึงขั้นนี้ได้โดยไม่ขาดหายก็เป็นอันว่าร่างกายผ่านการเตรียมพร้อมที่จะเข้าสู่วงจรนักวิ่งเพื่อสุขภาพอย่างเต็มภาคภูมิแล้ว
ตารางฝึก สัปดาห์ที่ 1 ถึง สัปดาห์ที่ 4 วิ่งของนักวิ่งหน้าใหม่
ภาคสุดท้ายจะเป็นตัวอย่างตารางฝึกที่ออกแบบมาสำหรับคนอายุ 50 ที่ไม่ได้ออกกำลังกายอย่างเป็นเรื่องเป็นราวมากว่า 20 ปี ซึ่งใครจะนำไปใช้ก็ขอให้ดัดแปลงให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายของตนเองโดยให้ยึดหลักว่าร่างกายของเราจะเป็นตัวบอกว่าเราควรที่จะเริ่มในระดับใดซึ่งประเมินได้จากเมื่อเราออกกำลังกายในโปรแกรมนั้นในวันแรกแล้วหมดแรงแบบหายใจหอบพูดไม่ออกเมื่อครบกำหนดเวลา หรือระยะทางที่กำหนดไว้โดยไม่ฝืนใจมาก ก็นับว่าให้เริ่มการฝึกที่จุดนั้นและขอแนะนำว่าการวิ่งในที่นี้เป็นการวิ่งเพื่อสุขภาพไม่ใช่เพื่อการแข่งขันเพราะว่าการฝึกเพื่อการแข่งขันมีโอกาสบาดเจ็บและเป็นการทำลายสุขภาพได้ซึ่งจะได้กล่าวต่อไปในคราวหน้า
ตารางฝึก สัปดาห์ที่ 1 ถึง สัปดาห์ที่ 4
*
เดินเร็ว = การเดินแบบรีบก้าวเท้ายาวให้มีระยะก้าวสม่ำเสมอ ไม่ใช่เดินทอดน่อง
เดินเร็วสลับช้า = เดินเร็ว 100 เมตร สลับเดินช้า(เดินแบบพักเหนื่อย) 200 เมตรหรือเดินเร็วประมาณครึ่งหนึ่งของการเดินช้า
พัก=เดินชดเชย ทดแทนวันที่ขาด หากรวมวันที่เดินไม่ครบ 6 วันหรือหยุดพักในกรณีที่เดินได้ครบ 6 วันตามรายการฝึก
** ตารางฝึกใน 4 สัปดาห์แรกเป็นการวางพื้นฐานการฝึกมีความต้องการให้ค่อนข้างง่ายสามารถปฏิบัติได้ทุกคน และให้ทำเป็นกิจวัตรประจำวันจึงต้องกำหนดให้เดินทุกวันแต่ยืนยันว่าได้ผลในระยะยาว และไม่ต้องกังวลหากน้ำหนักตัวในเดือนแรกจะหายไปประมาณ 1 หรือ 2 กิโลกรัม (หากคุณไม่กินอาหารเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ)
ก่อนการเดินจะต้องบริหารส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เพื่อให้กล้ามเนื้อเส้นเอ็นข้อต่อกระดูกส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้มีการยืดเส้นสายเตรียมพร้อมสำหรับการเดิน การบริหารเพื่อยืด กล้ามเนื้อก่อนและหลังการออกกำลัง จัดเป็นสิ่งที่จำเป็นและมีความสำคัญมาก เพราะจะเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการบาดเจ็บ จากกล้ามเนื้อแข็งแรงไม่เท่ากัน หรือการรัดเกร็งของกล้ามเนื้อ
การบริหารยืดกล้ามเนื้อนี้ จะต้องทำช้า ๆ อย่ากระตุกหรือเกร็งใช้เวลาบริหารประมาณ 10 นาที และอาจค่อย ๆ เพิ่มท่าการบริหารและเพิ่มเวลาขึ้นตามลำดับ จะช่วยให้ ร่างกายเบาสบาย มีความยืดหยุ่นพร้อมที่จะออกกำลังกาย
ตารางฝึก สัปดาห์ที่ 1 ถึง สัปดาห์ที่ 4
รายการฝึก
|
ปฎิบัติจริงๆ
|
วันที่1 เดินเร็ว 30 นาทีวันที่2 เดินเร็วสลับช้า 30 นาทีวันที่3 เดินเร็ว 30 นาทีวันที่4 เดินเร็วสลับช้า 30 นาทีวันที่5 เดินเร็ว 30 นาทีวันที่6 เดินเร็วสลับช้า 30 นาทีวันที่7 พัก |
เดินเร็ว = การเดินแบบรีบก้าวเท้ายาวให้มีระยะก้าวสม่ำเสมอ ไม่ใช่เดินทอดน่อง
เดินเร็วสลับช้า = เดินเร็ว 100 เมตร สลับเดินช้า(เดินแบบพักเหนื่อย) 200 เมตรหรือเดินเร็วประมาณครึ่งหนึ่งของการเดินช้า
พัก=เดินชดเชย ทดแทนวันที่ขาด หากรวมวันที่เดินไม่ครบ 6 วันหรือหยุดพักในกรณีที่เดินได้ครบ 6 วันตามรายการฝึก
** ตารางฝึกใน 4 สัปดาห์แรกเป็นการวางพื้นฐานการฝึกมีความต้องการให้ค่อนข้างง่ายสามารถปฏิบัติได้ทุกคน และให้ทำเป็นกิจวัตรประจำวันจึงต้องกำหนดให้เดินทุกวันแต่ยืนยันว่าได้ผลในระยะยาว และไม่ต้องกังวลหากน้ำหนักตัวในเดือนแรกจะหายไปประมาณ 1 หรือ 2 กิโลกรัม (หากคุณไม่กินอาหารเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ)
ก่อนการเดินจะต้องบริหารส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เพื่อให้กล้ามเนื้อเส้นเอ็นข้อต่อกระดูกส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้มีการยืดเส้นสายเตรียมพร้อมสำหรับการเดิน การบริหารเพื่อยืด กล้ามเนื้อก่อนและหลังการออกกำลัง จัดเป็นสิ่งที่จำเป็นและมีความสำคัญมาก เพราะจะเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการบาดเจ็บ จากกล้ามเนื้อแข็งแรงไม่เท่ากัน หรือการรัดเกร็งของกล้ามเนื้อ
การบริหารยืดกล้ามเนื้อนี้ จะต้องทำช้า ๆ อย่ากระตุกหรือเกร็งใช้เวลาบริหารประมาณ 10 นาที และอาจค่อย ๆ เพิ่มท่าการบริหารและเพิ่มเวลาขึ้นตามลำดับ จะช่วยให้ ร่างกายเบาสบาย มีความยืดหยุ่นพร้อมที่จะออกกำลังกาย
วันที่15
Total time: 26:41
Moving time: 26:27
Average speed: 6.93 km/h (4.3 mi/h)
Average moving speed: 6.99 km/h (4.3 mi/h)
Max speed: 11.49 km/h (7.1 mi/h)
Average pace: 8.66 min/km (13.9 min/mi)
Average moving pace: 8.58 min/km (13.8 min/mi)
วันนี้เริ่มทดลองวิ่งเหยาะเบาๆ สลับเดินโดยทดลองวิ่งที่ 100 เมตร สลับเดิน 600 เมตร ก็พอไหวการทดลองวิ่งทำให้รู้ว่าการซ้อมเดินมา 14 วันและการพักร่างกายยาว 5 วันก่อนหน้านี้ทำให้เราพร้อมที่จะเริ่มในขั้นต่อไปแล้ว
Moving time: 26:27
Average speed: 6.93 km/h (4.3 mi/h)
Average moving speed: 6.99 km/h (4.3 mi/h)
Max speed: 11.49 km/h (7.1 mi/h)
Average pace: 8.66 min/km (13.9 min/mi)
Average moving pace: 8.58 min/km (13.8 min/mi)
วันนี้เริ่มทดลองวิ่งเหยาะเบาๆ สลับเดินโดยทดลองวิ่งที่ 100 เมตร สลับเดิน 600 เมตร ก็พอไหวการทดลองวิ่งทำให้รู้ว่าการซ้อมเดินมา 14 วันและการพักร่างกายยาว 5 วันก่อนหน้านี้ทำให้เราพร้อมที่จะเริ่มในขั้นต่อไปแล้ว
วันที่14
Total distance: 2.39 km (1.5 mi)
Total time: 19:28
Moving time: 19:01
Average speed: 7.36 km/h (4.6 mi/h)
Average moving speed: 7.54 km/h (4.7 mi/h)
Max speed: 11.65 km/h (7.2 mi/h)
Average pace: 8.15 min/km (13.1 min/mi)
Average moving pace: 7.96 min/km (12.8 min/mi)
ห่างหายไปหลายวันเพราะต้องเดินทางไปทำภาระกิจที่ต่างจังหวัด กลับมาเริ่มต้นใหม่ด้วยระยะทางน้อยๆแต่เพิ่มความเร็วขึ้นเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่การเริ่มวิ่งสลับเดิน วิ่ง 100 เมตรสลับเดิน 600 เมตร ตรวจสอบกำลังไปก่อน
Total time: 19:28
Moving time: 19:01
Average speed: 7.36 km/h (4.6 mi/h)
Average moving speed: 7.54 km/h (4.7 mi/h)
Max speed: 11.65 km/h (7.2 mi/h)
Average pace: 8.15 min/km (13.1 min/mi)
Average moving pace: 7.96 min/km (12.8 min/mi)
ห่างหายไปหลายวันเพราะต้องเดินทางไปทำภาระกิจที่ต่างจังหวัด กลับมาเริ่มต้นใหม่ด้วยระยะทางน้อยๆแต่เพิ่มความเร็วขึ้นเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่การเริ่มวิ่งสลับเดิน วิ่ง 100 เมตรสลับเดิน 600 เมตร ตรวจสอบกำลังไปก่อน
Thursday, March 14, 2013
Tuesday, March 12, 2013
การฝึกวิ่งของนักวิ่งหน้าใหม่ (3)

ทำนองเดียวกัน ในรายที่อ่อนสรีระมาก ไม่ว่าจะเป็นเพราะอายุมาก หรือรายที่เพิ่งฟื้นตัวจากโรคภัย ก็ต้องให้เริ่มต้นที่อ่อนไปกว่าแผนนี้ ก็มีความเป็นไปได้ ซึ่งต้องอาศัยสามัญสำนึก รู้จักลดทอนและเพิ่มเอาเอง ทั้งนี้ต้องดูตัวเองให้ออก ว่าเรานี้อยู่ระดับใดให้เหมือนกับโค้ชวิเคราะห์ตัวนักกีฬาของเขา ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ตัวของผู้ฝึกเอง
Subscribe to:
Posts (Atom)